วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

งานเดี่ยวค่ะเมื่อวันเสาร์ไม่ได้มาสอบ

TPS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น โดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ เพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองค์การมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยที่ TPS จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานในแต่ละวันขององค์การให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็นระบบ เช่น มีความสามารถในการเก็บฐานข้อมูลจำนวนมาก มีการประมวลผลข้อมูลที่รวดเร็ว เนื่องจากมีปริมาณข้อมูลจำนวนมาก


เช่น การจองตั๋วหนังทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย สามารถเลือกที่นั่ง รอบหนัง ว่าเราต้องการแบบไหน


ขั้นตอน คือ ลูกค้าเดินมาที่พนักงาน จากนั้นบอกชื่อเรื่องว่าต้องการดูหนังเรื่องอะไร พนักงานก็จะคลิกไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อให้ลูกค้าเลือกรอบหนัง และที่นั่งว่าต้องการแบบไหน เมื่อพนักงานคลิกตามที่ลูกค้าบอก เครื่องก็จะทำการประมวลผลและบอกยอดชำระเงิน เมื่อลูกค้าจ่ายเงิน เครื่องก็จะทำการบันทึก และให้ตั๋วหนังออกมา จากนั้นระบบพนักงานก็สามารถเช็คได้ว่าเหลือที่นั่งในรอบนั้น ๆ เท่าใด


ระบบนี้เป็นระบบแบบ Online processing คือ ข้อมูลจะได้รับการประมวลผล และทำให้เป็นเอาท์พุททันทีที่มีการป้อนข้อมูลของธุรกรรมเกิดขึ้น เช่น การจองตั๋วหนัง ระบบจะประมวลผลและดำเนินการทันที เมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการและพนักงานป้อนข้อมูลและคำสั่งเข้าไปในเครื่อง




นางสาวธัญญลักขณ์ ทัพชัย 49003254 (มหาวิทยาลัยศรีปทุม)

ครั้งที่ 3 TPS

ระบบ TPS หรือ ระบบประมวลรายงาน เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการข้อมูลเบื้องต้น เป็นการประมวลข้อมูลที่เป็นการดำเนินงานประจำวันภายในองค์กร ตัวอย่างเช่น ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลการขายสินค้า ระบบการจองโรงแรมห้องพัก ระบบการจองตั๋วเครื่องบิน ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลพนักงาน/ลูกจ้าง หรือข้อมูลการขนส่งสินค้า โดยจะนำข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้มาทำการประมวลผล เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนให้กับองค์กรและนำข้อมูลไปใช้งานในภายหลัง เช่น วันนี้มียอดขายเท่าใด รายรับรายจ่ายเท่าใด มีเงินหมุนเวียนในระบบเท่าใดหรือในคลังสินค้า สินค้าที่นำออกไปมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น ยกตัวอย่าง ภายในร้านสะดวกซื้อเมื่อลูกค้าเข้ามาใช้บริการในร้าน และได้เลือกสินค้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะเดินไปยังแคชเชียร์เพื่อชำระเงินพนักงานยิงบาร์โค้ดไปยังสินค้าที่ลูกค้าซื้อ เพื่อดูว่าเป็นสินค้าใด มีราคาเท่าไหร่ และก็คำนวณราคาสินค้าทั้งหมดซึ่งทางร้านก็จะมีโปรแกรมสำหรับเช็คยอดสินค้า และจำนวนเงินที่ขายสินค้าแต่ละชนิดของวันนั้น ๆ จะเห็นได้ว่า จากการที่เรานำระบบ TPS มาใช้นั้น ทำให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น คือเราสามารถรู้ยอดสินค้า รู้รายรับ-จ่ายได้รวดเร็ว และยังทำให้ง่ายต่อการเช็คจำนวนสินค้าราคาสินค้า และช่วยในการวางแผนการจัดการเกี่ยวกับสินค้าภายในร้าน อีกทั้งยังทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจในการให้บริการที่รวดเร็วของร้านด้วย



น.ส.ศิรภัสสร วงษ์เนตร 49000855
น.ส.ธัญญลักขณ์ ทัพชัย 49003254
น.ส.วรนุช เสือเยะ 481-20-0211
น.ส.ภานุมาศ ฟักนาค 492-20-0002

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พัฒนาภาวะผู้นำ

พัฒนาภาวะผู้นำ...
สำหรับคนที่อยากเป็นผู้นำ...
1. เรียนรู้ตนเองต้องฝีกฝนความอดทน อดกลั้น สร้างนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน พัฒนามนุษยสัมพันธ์ของตนเองให้ดีสามารถเข้าได้กับคนทุกระดับชั้น ปรับปรุงลักษณะนิสัยของตนเองอยู่เสมอให้เข้ากับคนอื่นๆให้ได้ สิ่งเหล่านี้ ต้องใช้ความสังเกตุในพฤติกรรมของตนเอง และ ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น ถ้าตัวเองยังไม่ศึกษาตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร ก็เป็นอันว่าจบ ไม่ต้องไปทำเรื่องอื่นเลยครับ
2. เรียนรู้คนรอบข้างทุกๆคน เข้าใจธรรมชาติของคนคนรอบข้างของเรา เป็นฐานความรู้เพื่อทำให้เราเข้าใจคนอื่นๆได้มากขึ้น คนส่วนใหญ่มุ่งมองผลประโยชน์เพื่อตนเอง จนลืมไปว่า จริงๆแล้วการใช้ชีวิตในโลกนี้ เราต้องใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่น ต้องมีการติดต่อสื่อสาร คนที่เข้าใจธรรมชาติของคนอื่นๆ ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว หรือ คนรวย คนจน ขอทาน ก็ตาม การที่เข้าใจความคิดของคนอื่น เข้าใจพฤติกรรมของคนอื่นจะเป็นคนที่สามารถมองเห็นความเป็นจริงของคนอื่นว่า เขาเป็นเช่นใด เมื่อฝึกทักษักการมองนิสัยของคนรอบข้างจนสามารถคุย 2-3 คำถาม หรือ ใช้เวลาอยู่กับเขาสัก 10-20 นาที แล้วสามารถบอกได้ว่า คนๆนั้นมีลักษณะนิสัยคร่าวๆเป็นอย่างไรได้ นั่นแหละ คุณจะเข้าใจธรรมชาติของคนอื่นๆได้ดี เมื่อเข้าใจคนอืนๆได้ดี เราจะเอาความสามารถเหล่านี้ มาประยุกต์ใช้กับการเข้ากับเพื่อนร่วมงาน เข้ากับเจ้านาย หรือแม้นแต่เข้ากับศัตรูได้ดีเช่นกัน การที่เรารู้จักเขาได้เร็วทำให้เราได้เปรียบ และสามารถนำคนอื่นๆได้ง่าย
3. จริงใจและหวังดีกับทุกคนความจริงใจเป็นสิ่งที่สื่อสารทางจิตใจ จากความรู้สึกที่ผ่านจากการแสดงออก น้อยคนนักที่อยากจะให้คนอื่นได้ดี และ ยิ่งมีน้อยคนที่มีความจริงใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะให้คนอื่นประสบความสำเร็จ การสร้างให้ตนเองมีความจริงใจ แสดงความจริงใจ ไม่เสแสร้งแกล้งทำว่า นี่เป็นคำแนะนำจากใจจริง แต่แฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ คนกลุ่มนี้สามารถสัมผัสได้จากความรู้สึกถึงการให้ว่าเขาให้จากใจจริงหรือไม่ ส่วนคนจริงใจ ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่า เขาหวังดีกับเราได้มากแค่ไหน คนทุกคนต้องการความจริงใจจากคนอื่น ดังนั้น ผู้นำหากมีความจริงใจเป็นที่ตั้ง คนอื่นๆก็จะมองเห็น และ จะเชื่อใจในการตัดสินใจของผุ้นำ
4. สื่อสารได้อย่างดีไม่ว่าเรื่องยากแค่ไหนก็ต้องสามารถสื่อสารให้ทั้งคนฉลาด และ ไม่ฉลาดเข้าใจได้ครบถ้วน ต้องฝึกทักษะทั้งการพูด เขียน รวมถึงการตีความหมายของคำที่ผู้อื่นสื่อสารมาให้ได้ตรงประเด็น คนโง่ฟังคำอธิบายแล้วเข้าใจ คนฉลาดพูดนิดหน่อยถึงเข้าใจ ต้องรู้จักว่าคนที่เราสื่อสารด้วยนั้น มีความสามารถเช่นใด จะสื่อสารอย่างไรเพื่อให้คนหมู่มากเข้าใจได้อย่างพร้อมกัน และ ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ ทักษะการสื่อสารเป็นหัวใจของผู้นำ เพราะ ผู้ตามจะทำตามได้อย่างถูกต้องตามความต้องการหรือไม่นั้น ขึ้นกับการสื่อสารของผู้นำเป็นสำคัญ
5. สร้างจุดยืนของตนเองโดยปกติผู้นำจะมีจุดยืนของตนเอง แต่ไม่ใช่หัวแข็งจนไม่รับฟัง [u]จุดยืนเปลี่ยนแปลงได้ถ้าหากจุดที่กำลังยืนอยู่นั้นมันจะทำให้เกิดอันตราย[/u] ผู้นำต้องเก่งในเรื่องความคิด และ ความมุ่งมั่นในตนเอง และ เก่งในการรวบรวมความคิดที่เป็นประโยชน์ แล้วกลั่นกรองความคิดต่างๆของคนอื่น รวบรวมความคิดเหล่านั้นที่เป็นข้อดี จุดดี มารวมไว้ที่ตัวตนของตนเอง เป็นการพัฒนาจากความคิดของคนอื่น เลี่ยงจุดตาย สร้างจุดเป็น อยู่เสมอ ไม่ใช่แข็งทื่อ ไม่เปลี่ยนแปลง
6. พัฒนาความคิดให้เป็นระบบ ระเบียบ จนสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ในทันทีความคิดของคนเราโดยปกติ จะคิดโนน่คิดนี่ คิดไปทั่วไม่เป็นระเบียบ การฝึกให้คิดให้เป็นระบบ ระเบียบนั้น จะทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงได้เร็วขึ้น เข้าใจในสิ่งต่างๆได้เร็วขึ้น เมื่อเข้าใจ และ รู้ว่าสิ่งต่างๆเป็นไปเช่นใด จะทำให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้รวดเร็วขึ้นเป็นลำดับ การฝึกคิด ฝึกเรียบเรียงความคิด จึงเป็นสิ่งที่จะสนับสนุนให้ผู้นำ ได้เห็นมุมมองต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้องแม่นยำ
7. เสนอความคิดเห็นที่คิดว่าดี บ่อยๆกับกลุ่ม หรือ ที่ประชุมผู้นำมักเริ่มจากการเสนอความคิดเห็น ที่ถูกวิเคราะห์ในสมองแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดี ถึงออกความคิดเห็น การฝึกออกความคิดเห็นจะเป็นตัวกระตุ้นให้สมองเกิดการวิเคราะห์และแจกแจงสิ่งต่างๆได้รวดเร็วมากขึ้น ผู้นำส่วนใหญ่จึงชอบสอน ชอบแนะ ชอบให้ความคิดเห็นของตนกับคนอืนๆเสมอๆ ทั้งในที่ประชุม การคุยกัน หรือแม้นแต่การพักผ่อน พวกเขาจะอยู่สนุกอยู่กับการคิด และ ประยุกต์สิ่งต่างๆให้สามารถเป็นจริงขึ้นมา
8. สร้างแนวความคิดที่แตกต่าง แต่เป็นความจริง และสามารถใช้ได้จริง และ สื่อสารให้คนอื่นได้รับรู้ผู้นำมักมีแนวความคิดที่แตกต่างจากความคิดของคนสามัญ แต่สามารถทำให้ได้ผลจริงขึ้น แนวความคิดเหล่านี้มักเกิดจากประสบการณ์ และ ความเก่งกาจในการแยกแยะ วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆอยู่เป็นประจำ เมื่อแยกแยะได้ก็จะต้องสามารถกระจายความคิดที่รวบยอดออกมาเป็นความคิดโดยละเอียดได้ และ ความคิดจะเป็นรูปเป็นร่างได้ก็ต่อเมื่อ ต้องสื่อสารความคิดเหล่านั้นให้กับคนรอบข้างได้รับรู้อย่างดี ซึ่งต้องพี่งการสื่อสารนั่นเอง
9. ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ และ ความรู้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานให้มากที่สุดผู้นำมักมีวิสัยทัศน์ และมุมมองใหม่ๆมาประยุกต์ให้เข้ากับการทำงานอยู่เสมอ นิสัยหนึ่งที่ทำให้เกิดลักษณะนี้ได้ คือนิสัยที่ชอบเรียนรู้และทดลอง สามารถเอาสิ่งที่รู้ที่เห็นมาประยุกต์ใช้กับงาน การเข้าใจและจดจำสิ่งต่างๆจึงมีผลกับความคิด โดยเฉพาะ ความรู้ใหม่ๆ สิ่งของใหม่ๆ ทฤษฎีใหม่ๆ จะเป็นอาหารสมองอันโอชะของผู้นำเกือบทุกคน
10. หัดนำทีมงาน ตั้งแต่เล็กๆ ไปจนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆการเริ่มเป็นผู้นำมันเริ่มจากความมั่นใจเล็กๆ ที่สามารถนำเพื่อนให้พ้นภัย แก้ปัญหาให้กับเพื่อนๆ เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความบาดหมางของเพื่อนๆ เป็นหัวหน้าทีมเล็กๆ ไปจนถึงหัวหน้าชั้น หัวหน้าชั้นปี เจ้าของกิจการ ผู้นำประเทศ ผู้นำจะไต่เต้าหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อจะลองใช้ความสามารถนำพาให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย และจะโหยหาการนำที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นธรรมชาติของผุ้พิชิต ดังนั้น การจะเริ่มเป็นผุ้นำ ก็ต้องหัดนำพาคนตั้งแต่กลุ่มเล็กๆ ให้ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างความมั่นใจขั้นพื้นฐาน ก่อนจะไปนำกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ
11. สะสมประสบการณ์ และ หาข้อดีและข้อเสียของการนำทีม แล้วเอามาปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นคนที่ทำงาน ย่อมมีผิดพลาด การเป็นผู้นำก็เช่นกัน บางครั้งก็ต้องผิดพลาด หากมัวแต่กังวลกับข้อผิดพลาดเก่าๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว ก็จะเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจตนเอง แต่หากมองในมุมว่า หากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ดีขึ้น ต้องสรุป และ หาข้อดีข้อเสียของการทำงานในแต่ละขั้นอย่างเป็นกลางมากที่สุดแล้วปรับปรุงตนเองให้มีนิสัยเหล่านี้ ก็จะทำให้ภาวะผู้นำในตนเกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น...

แนวโน้มมนุษย์ทองคำ HR ปี 2008

แนวโน้มมนุษย์ทองคำ HR ปี 2008 ค่าตัวพุ่ง-นักสร้างแบรนด์-ผู้นำกู้วิกฤต

ต้องยอมรับว่าบทบาทของฝ่าย human resource : HR ในปัจจุบันค่อนข้างมีความเปลี่ยนแปลงมาก ทั้งในเรื่องของการเป็นหุ้นส่วนทางกลยุทธ์กับผู้นำองค์กร หรือจำเป็นต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพราะอย่างที่ทราบองค์กรในปัจจุบันมีการแข่งขันทางธุรกิจค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นการที่องค์กรหนึ่งองค์กรใดคิดที่จะขยายโปรเจ็กต์การลงทุนในประเทศต่างๆ ฝ่าย HR จึงจำต้องเป็นหน่วยงานแรกๆ ในการสรรหาพนักงานเพื่อส่งคนไปยังประเทศต่างๆ เหล่านั้น เพียงแต่ช่วงผ่านมานับแต่ปี 2005-2007 ฝ่าย HR อาจทำหน้าที่เพียงหน่วยงานสนับสนุนหรือทำงานเฉพาะแต่งานบริหารและเอกสารเท่านั้นทว่าในปี 2008 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า "รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข" ผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่า ฝ่าย HR จะต้องเป็นนักประชาสัมพันธ์และนักการสื่อสาร (PR & communicator)และจะต้องเป็นนักการตลาดและนักสร้าง แบรนด์ (marketer & brand maker) รวมทั้งยังจะต้องเป็นนักตรวจสอบคุณภาพสำหรับงาน HR (HR auditor) ด้วยสำคัญไปกว่านั้น "รศ.ดร.ศิริยุพา" ยังมองว่าแนวโน้มและทิศทางในการบริหารพัฒนาบุคลากรและองค์กรในปี 2008 บทบาทของฝ่าย HR จะต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารคน ซึ่งประกอบด้วยการสรรหาและคัดเลือกพนักงานที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการสร้างแบรนด์ของนายจ้าง, การสรรหาพนักงานเชิงรุก และจะต้องใช้กระบวนการสรรหาและเครื่องมือที่เป็นระบบและวัดผลได้ นอกจากนั้นยังจะต้องใช้ outsource สำหรับตำแหน่งบริหารและงานทั่วไปส่วนสำหรับเรื่องการพัฒนาบุคลากร ฝ่าย HR ควรที่จะสร้างศูนย์ประเมิน (assesment center) และมีแนวทางในการพัฒนาอาชีพ รวมทั้งยังจะต้องมีการโค้ชชิ่งผู้นำด้วย เพราะปัญหาเท่าที่พบในปัจจุบัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้บริหารระดับกลางไม่สามารถก้าวข้ามขึ้นไปเป็นผู้นำในระดับสูงได้ เนื่องจากขาดประสบการณ์และทักษะเชิงการบริหาร อีกอย่างในระบบการประเมินผล ฝ่าย HR จะต้องสร้างระบบวัดผลที่เป็นมาตรฐาน และจะต้องมีการวัดผลงานของพนักงานด้วย นอกจากนั้นในเรื่องของระบบผลตอบแทน เราจะต้องสร้างระบบผลตอบแทนที่เน้นผลงานโดยเฉพาะ ไม่ใช่เน้นเรื่องอายุงาน และจะต้องสร้างระบบผลตอบแทนให้มีความยืดหยุ่นสูงทั้งนั้นเพราะ "รศ.ดร.ศิริยุพา" มองว่าเนื่องจากสถานการณ์ธุรกิจโลกในปี 2007 ต่างส่งผลต่อกระแสการเมือง ทั้งในเรื่องของภัยผู้ก่อการร้าย การแปรรูปองค์กรรัฐ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายแรงงาน และการเกิดเขตเศรษฐกิจยุคใหม่ อย่างจีน อินเดีย และยุโรปตะวันออก ที่ล้วนส่งผลต่อสถานการณ์ธุรกิจโลกทั้งสิ้น
เหตุนี้เองจึงทำให้ในเรื่องของกระแสการเมือง จึงไปเชื่อมโยงกับกระแสเศรษฐกิจ กระแสสังคม และกระแสเทคโนโลยี ดังนั้นในประเด็นที่ท้าทายเช่นนี้ ฝ่าย HR ในปี 2008 จึงต้องเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบเปิด และมีพลวัตสูง การควบคุมต้นทุน การบริหารพนักงานหลากเชื้อชาติ การต่อสู้เพื่อสรรหาและรักษาคนเก่ง การส่งเสริมคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดีให้แก่พนักงาน การวางแผนการสืบทอดตำแหน่งชิงรุก และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ "กุลส์ชานห์น ซิงห์" ผู้บริหารของบริษัท เฮวิท (เอเชีย) จำกัด จึงมองสมทบว่า ในปี 2008 นี้ฝ่าย HR จะต้องเป็นหางเสือที่ดี เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงเป็นกัปตันแล้ว ดังนั้นฝ่าย HR จึงต้องคำนึงถึงผล 4 อย่างอันประกอบด้วยหนึ่ง talent supply สอง human capital research & developmentสาม ความสนใจในเรื่องของ corporate social responsibility : CSR สี่ ผลของการปฏิบัติงาน
ซึ่งทุกข้อจะต้องเชื่อมโยงและมีความสัมพันธ์กัน เพราะเทรนด์ของ HR ในอนาคตจะต้องมี ความรอบรู้
มากขึ้น และจะต้องเข้าใจในธุรกิจของตัวเองอย่างดี รวมถึงยังจะต้องมองธุรกิจของคู่แข่งด้วยแต่ปัญหาที่พบคือในกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ (gen-X) ที่อายุประมาณ 30-42 ปี ไม่สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารในระดับสูงได้ เนื่องจากมีการขาดช่วงต่อในคนรุ่นเบบี้ บูมส์ คืออายุระหว่าง 43-60 ปี รวมถึงประสบการณ์การทำงาน การตัดสินใจ ประกอบกับกลุ่มพนักงานรุ่นใหม่ (gen-Y) คือคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปีลงไปจนถึงปริญญาตรี เริ่มมีปัญหามากขึ้น
เพราะคนเหล่านี้จบการศึกษามาแบบแคระแกร็น ซึ่งแทบไม่มีความสามารถในการทำงานเลย รวมทั้งทัศนคติต่อการทำงานยังมองเรื่องเงินและสวัสดิการเป็นปัจจัยหลัก "กุลส์ชานห์น ซิงห์" บอกว่า กลุ่มพนักงานรุ่นใหม่มีอยู่ประมาณ 18-29% ขององค์กรทั้งหมดที่อยู่ในประเทศไทยฉะนั้นต่อปัญหาเรื่องการขาดแคลนผู้นำองค์กร จึงกลายเป็นปัญหาสำคัญ ยิ่งเฉพาะต่อประเทศสิงคโปร์ จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รวมถึงประเทศไทยในอนาคตด้วยผลเช่นนี้เองจึงทำให้ "บุปผาวดี โอวรารินทร์" ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (เอเชีย) บริษัท วัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) จำกัด จึงมองเสริมว่า ตอนนี้กลุ่มตำแหน่งหลักๆ ในการขับเคลื่อนองค์กรกำลังประสบปัญหา ทั้งในเรื่องของการสรรหาคนมานั่งประจำองค์กรและการรักษาคนเก่ง คนดีซึ่งเรื่องนี้สามารถมองได้หลายมุม มุมหนึ่งเป็นมุมของนายจ้างที่มองว่าการที่มีคนอยากมาทำงานกับองค์กรของตนเป็นเพราะองค์กรของตนจ่ายผลตอบแทนสูง มีโอกาสแสดงความสามารถ แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากองค์กรใดมีธรรมชาติองค์กรที่ไม่ดี ทำงานแล้วไม่มีความมั่นคง หรือไม่มีการโปรโมตก็ไม่มีใครอยากทำด้วยที่สำคัญคนที่ลาออกส่วนใหญ่มักมองเรื่องเงินเดือน เรื่องของความเครียด และคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดี ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง และจากข้อมูลที่สำรวจ ปรากฏว่าประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี และมาเลเซีย ค่อนข้างมีความกดดันในการทำงานสูงแต่กระนั้นในเรื่องของทิศทางของเงินเดือน ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักต่อการทำงานของพนักงาน ทุกคน "กุลส์ชานห์น ซิงห์" ก็มองจากข้อมูลที่ เฮวิทสำรวจจาก 120 บริษัท ในประเทศไทย และบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ก็พบข้อมูลว่าในปี 2008 ภาพรวมของเงินเดือนขององค์กรทั้งหมดในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6.3% โดยแบ่งเป็นผู้บริหารระดับต้นถึงกลางขึ้นประมาณ 6.7% ผู้บริหารระดับกลางถึงสูง ประมาณ 6.3% ทั้งนั้นขึ้นกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศด้วย นอกจากนั้น "กุลส์ชานห์น ซิงห์" ยังระบุข้อมูลของเฮวิทที่เกี่ยวเนื่องกับเงินเดือนของกลุ่ม ธุรกิจต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2008 ว่า กลุ่มธุรกิจที่เงินเดือนขึ้นสูงสุดคือกลุ่มธุรกิจไอที คือประมาณ 7.4% กลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์ 7.2% กลุ่มธุรกิจรถยนต์ 6.9% กลุ่มธุรกิจการเงินการธนาคาร 5.8% กลุ่มธุรกิจสิ่งพิมพ์ประมาณ 6% โดยเฉลี่ยทุกๆ องค์กรในประเทศไทยจะได้รับโบนัสในต้นปี 2008 ประมาณ 1 เดือนเป็นอย่างต่ำ ซึ่งไปสอดคล้องกับข้อมูลที่ "บุปผาวดี" จากบริษัท วัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) สำรวจทิศทางของเงินเดือนในปี 2008 ที่สำรวจจาก 996 บริษัท 22 ประเทศ จากทั้งหมด 5 ทวีป ปรากฏว่าทิศทางของเงินเดือนในเอเชีย-แปซิฟิก พนักงานในองค์กรต่างๆ จะมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นประมาณ 5%แคนาดา 3% ยุโรป 3% ละตินอเมริกา 4.5% และอเมริกาประมาณ 4.6% ซึ่งทั้งหมดนี้ ข้อมูลจากการสำรวจชี้ชัดว่าเงินเดือนที่จ่ายให้กับ พนักงานในองค์กรต่างๆ ในโลกนั้นจะจ่ายตาม
ความสามารถของพนักงานมากที่สุดผลเช่นนี้เองจึงทำให้มนุษย์ทองคำ HR ที่ทำงานให้กับองค์กรในประเทศและองค์กรข้ามชาติในปี 2008 จึงมีค่าตัวที่ค่อนข้างกระโดด เพราะจากข้อมูลที่ "บุปผาวดี" ของวัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) ระบุอย่างคร่าวๆ ว่า ค่าตัวของผู้อำนวยการฝ่าย HR สำหรับองค์กรในไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาท/เดือน ส่วนผู้อำนวยการฝ่าย HR ขององค์กรต่างชาติน่าจะอยู่ที่ประมาณ 240,000 บาท/เดือน ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงที่ดูแลฝ่าย HR ขององค์กรต่างชาติน่าจะอยู่ที่ประมาณ 500,000 บาท/เดือน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง
ฉะนั้นแนวโน้มและทิศทางในการบริหารพัฒนาบุคลากรและองค์กรในปี 2008 จึงเป็นแนวโน้มและทิศทางที่น่าสนใจสำหรับองค์กรในประเทศและองค์กรต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแต่ทั้งนั้นคงขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศด้วยว่า เมื่อมีรัฐบาลใหม่ในปี 2008 จริงๆ แล้วเขาจะบริหารบ้านเมืองให้ไปในทิศทางอย่างที่มีการสำรวจกันจริงๆ หรือเปล่าคงต้องมาดูกันอีกที ?
ค่าตัวพุ่ง-นักสร้างแบรนด์-ผู้นำกู้วิกฤต

ต้องยอมรับว่าบทบาทของฝ่าย human resource : HR ในปัจจุบันค่อนข้างมีความเปลี่ยนแปลงมาก ทั้งในเรื่องของการเป็นหุ้นส่วนทางกลยุทธ์กับผู้นำองค์กร หรือจำเป็นต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพราะอย่างที่ทราบองค์กรในปัจจุบันมีการแข่งขันทางธุรกิจค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นการที่องค์กรหนึ่งองค์กรใดคิดที่จะขยายโปรเจ็กต์การลงทุนในประเทศต่างๆ ฝ่าย HR จึงจำต้องเป็นหน่วยงานแรกๆ ในการสรรหาพนักงานเพื่อส่งคนไปยังประเทศต่างๆ เหล่านั้น เพียงแต่ช่วงผ่านมานับแต่ปี 2005-2007 ฝ่าย HR อาจทำหน้าที่เพียงหน่วยงานสนับสนุนหรือทำงานเฉพาะแต่งานบริหารและเอกสารเท่านั้นทว่าในปี 2008 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า "รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข" ผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่า ฝ่าย HR จะต้องเป็นนักประชาสัมพันธ์และนักการสื่อสาร (PR & communicator)และจะต้องเป็นนักการตลาดและนักสร้าง แบรนด์ (marketer & brand maker) รวมทั้งยังจะต้องเป็นนักตรวจสอบคุณภาพสำหรับงาน HR (HR auditor) ด้วยสำคัญไปกว่านั้น "รศ.ดร.ศิริยุพา" ยังมองว่าแนวโน้มและทิศทางในการบริหารพัฒนาบุคลากรและองค์กรในปี 2008 บทบาทของฝ่าย HR จะต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารคน ซึ่งประกอบด้วยการสรรหาและคัดเลือกพนักงานที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการสร้างแบรนด์ของนายจ้าง, การสรรหาพนักงานเชิงรุก และจะต้องใช้กระบวนการสรรหาและเครื่องมือที่เป็นระบบและวัดผลได้ นอกจากนั้นยังจะต้องใช้ outsource สำหรับตำแหน่งบริหารและงานทั่วไปส่วนสำหรับเรื่องการพัฒนาบุคลากร ฝ่าย HR ควรที่จะสร้างศูนย์ประเมิน (assesment center) และมีแนวทางในการพัฒนาอาชีพ รวมทั้งยังจะต้องมีการโค้ชชิ่งผู้นำด้วย เพราะปัญหาเท่าที่พบในปัจจุบัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้บริหารระดับกลางไม่สามารถก้าวข้ามขึ้นไปเป็นผู้นำในระดับสูงได้ เนื่องจากขาดประสบการณ์และทักษะเชิงการบริหาร อีกอย่างในระบบการประเมินผล ฝ่าย HR จะต้องสร้างระบบวัดผลที่เป็นมาตรฐาน และจะต้องมีการวัดผลงานของพนักงานด้วย นอกจากนั้นในเรื่องของระบบผลตอบแทน เราจะต้องสร้างระบบผลตอบแทนที่เน้นผลงานโดยเฉพาะ ไม่ใช่เน้นเรื่องอายุงาน และจะต้องสร้างระบบผลตอบแทนให้มีความยืดหยุ่นสูงทั้งนั้นเพราะ "รศ.ดร.ศิริยุพา" มองว่าเนื่องจากสถานการณ์ธุรกิจโลกในปี 2007 ต่างส่งผลต่อกระแสการเมือง ทั้งในเรื่องของภัยผู้ก่อการร้าย การแปรรูปองค์กรรัฐ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายแรงงาน และการเกิดเขตเศรษฐกิจยุคใหม่ อย่างจีน อินเดีย และยุโรปตะวันออก ที่ล้วนส่งผลต่อสถานการณ์ธุรกิจโลกทั้งสิ้น
เหตุนี้เองจึงทำให้ในเรื่องของกระแสการเมือง จึงไปเชื่อมโยงกับกระแสเศรษฐกิจ กระแสสังคม และกระแสเทคโนโลยี ดังนั้นในประเด็นที่ท้าทายเช่นนี้ ฝ่าย HR ในปี 2008 จึงต้องเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบเปิด และมีพลวัตสูง การควบคุมต้นทุน การบริหารพนักงานหลากเชื้อชาติ การต่อสู้เพื่อสรรหาและรักษาคนเก่ง การส่งเสริมคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดีให้แก่พนักงาน การวางแผนการสืบทอดตำแหน่งชิงรุก และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ "กุลส์ชานห์น ซิงห์" ผู้บริหารของบริษัท เฮวิท (เอเชีย) จำกัด จึงมองสมทบว่า ในปี 2008 นี้ฝ่าย HR จะต้องเป็นหางเสือที่ดี เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงเป็นกัปตันแล้ว ดังนั้นฝ่าย HR จึงต้องคำนึงถึงผล 4 อย่างอันประกอบด้วยหนึ่ง talent supply สอง human capital research & developmentสาม ความสนใจในเรื่องของ corporate social responsibility : CSR สี่ ผลของการปฏิบัติงาน
ซึ่งทุกข้อจะต้องเชื่อมโยงและมีความสัมพันธ์กัน เพราะเทรนด์ของ HR ในอนาคตจะต้องมี ความรอบรู้
มากขึ้น และจะต้องเข้าใจในธุรกิจของตัวเองอย่างดี รวมถึงยังจะต้องมองธุรกิจของคู่แข่งด้วยแต่ปัญหาที่พบคือในกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ (gen-X) ที่อายุประมาณ 30-42 ปี ไม่สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารในระดับสูงได้ เนื่องจากมีการขาดช่วงต่อในคนรุ่นเบบี้ บูมส์ คืออายุระหว่าง 43-60 ปี รวมถึงประสบการณ์การทำงาน การตัดสินใจ ประกอบกับกลุ่มพนักงานรุ่นใหม่ (gen-Y) คือคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปีลงไปจนถึงปริญญาตรี เริ่มมีปัญหามากขึ้น
เพราะคนเหล่านี้จบการศึกษามาแบบแคระแกร็น ซึ่งแทบไม่มีความสามารถในการทำงานเลย รวมทั้งทัศนคติต่อการทำงานยังมองเรื่องเงินและสวัสดิการเป็นปัจจัยหลัก "กุลส์ชานห์น ซิงห์" บอกว่า กลุ่มพนักงานรุ่นใหม่มีอยู่ประมาณ 18-29% ขององค์กรทั้งหมดที่อยู่ในประเทศไทยฉะนั้นต่อปัญหาเรื่องการขาดแคลนผู้นำองค์กร จึงกลายเป็นปัญหาสำคัญ ยิ่งเฉพาะต่อประเทศสิงคโปร์ จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รวมถึงประเทศไทยในอนาคตด้วยผลเช่นนี้เองจึงทำให้ "บุปผาวดี โอวรารินทร์" ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (เอเชีย) บริษัท วัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) จำกัด จึงมองเสริมว่า ตอนนี้กลุ่มตำแหน่งหลักๆ ในการขับเคลื่อนองค์กรกำลังประสบปัญหา ทั้งในเรื่องของการสรรหาคนมานั่งประจำองค์กรและการรักษาคนเก่ง คนดีซึ่งเรื่องนี้สามารถมองได้หลายมุม มุมหนึ่งเป็นมุมของนายจ้างที่มองว่าการที่มีคนอยากมาทำงานกับองค์กรของตนเป็นเพราะองค์กรของตนจ่ายผลตอบแทนสูง มีโอกาสแสดงความสามารถ แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากองค์กรใดมีธรรมชาติองค์กรที่ไม่ดี ทำงานแล้วไม่มีความมั่นคง หรือไม่มีการโปรโมตก็ไม่มีใครอยากทำด้วยที่สำคัญคนที่ลาออกส่วนใหญ่มักมองเรื่องเงินเดือน เรื่องของความเครียด และคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดี ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง และจากข้อมูลที่สำรวจ ปรากฏว่าประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี และมาเลเซีย ค่อนข้างมีความกดดันในการทำงานสูงแต่กระนั้นในเรื่องของทิศทางของเงินเดือน ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักต่อการทำงานของพนักงาน ทุกคน "กุลส์ชานห์น ซิงห์" ก็มองจากข้อมูลที่ เฮวิทสำรวจจาก 120 บริษัท ในประเทศไทย และบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ก็พบข้อมูลว่าในปี 2008 ภาพรวมของเงินเดือนขององค์กรทั้งหมดในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6.3% โดยแบ่งเป็นผู้บริหารระดับต้นถึงกลางขึ้นประมาณ 6.7% ผู้บริหารระดับกลางถึงสูง ประมาณ 6.3% ทั้งนั้นขึ้นกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศด้วย นอกจากนั้น "กุลส์ชานห์น ซิงห์" ยังระบุข้อมูลของเฮวิทที่เกี่ยวเนื่องกับเงินเดือนของกลุ่ม ธุรกิจต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2008 ว่า กลุ่มธุรกิจที่เงินเดือนขึ้นสูงสุดคือกลุ่มธุรกิจไอที คือประมาณ 7.4% กลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์ 7.2% กลุ่มธุรกิจรถยนต์ 6.9% กลุ่มธุรกิจการเงินการธนาคาร 5.8% กลุ่มธุรกิจสิ่งพิมพ์ประมาณ 6% โดยเฉลี่ยทุกๆ องค์กรในประเทศไทยจะได้รับโบนัสในต้นปี 2008 ประมาณ 1 เดือนเป็นอย่างต่ำ ซึ่งไปสอดคล้องกับข้อมูลที่ "บุปผาวดี" จากบริษัท วัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) สำรวจทิศทางของเงินเดือนในปี 2008 ที่สำรวจจาก 996 บริษัท 22 ประเทศ จากทั้งหมด 5 ทวีป ปรากฏว่าทิศทางของเงินเดือนในเอเชีย-แปซิฟิก พนักงานในองค์กรต่างๆ จะมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นประมาณ 5%แคนาดา 3% ยุโรป 3% ละตินอเมริกา 4.5% และอเมริกาประมาณ 4.6% ซึ่งทั้งหมดนี้ ข้อมูลจากการสำรวจชี้ชัดว่าเงินเดือนที่จ่ายให้กับ พนักงานในองค์กรต่างๆ ในโลกนั้นจะจ่ายตาม
ความสามารถของพนักงานมากที่สุดผลเช่นนี้เองจึงทำให้มนุษย์ทองคำ HR ที่ทำงานให้กับองค์กรในประเทศและองค์กรข้ามชาติในปี 2008 จึงมีค่าตัวที่ค่อนข้างกระโดด เพราะจากข้อมูลที่ "บุปผาวดี" ของวัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) ระบุอย่างคร่าวๆ ว่า ค่าตัวของผู้อำนวยการฝ่าย HR สำหรับองค์กรในไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาท/เดือน ส่วนผู้อำนวยการฝ่าย HR ขององค์กรต่างชาติน่าจะอยู่ที่ประมาณ 240,000 บาท/เดือน ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงที่ดูแลฝ่าย HR ขององค์กรต่างชาติน่าจะอยู่ที่ประมาณ 500,000 บาท/เดือน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง
ฉะนั้นแนวโน้มและทิศทางในการบริหารพัฒนาบุคลากรและองค์กรในปี 2008 จึงเป็นแนวโน้มและทิศทางที่น่าสนใจสำหรับองค์กรในประเทศและองค์กรต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแต่ทั้งนั้นคงขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศด้วยว่า เมื่อมีรัฐบาลใหม่ในปี 2008 จริงๆ แล้วเขาจะบริหารบ้านเมืองให้ไปในทิศทางอย่างที่มีการสำรวจกันจริงๆ หรือเปล่าคงต้องมาดูกันอีกที ?

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ครั้งที่ 2 ฐานข้อมูลเบื้องต้น




































สมาชิกของกลุ่ม clubzuza
1. น.ส.ศิรภัสสร วงษ์เนตร 49000855
2. น.ส.ธัญญลักขณ์ ทัพชัย 49003254
3. น.ส.อารยา ยาดี 49003278
4. น.ส.วรนุช เสือเยะ 481-20-0211
5. น.ส.ภานุมาศ ฟักนาค 492-20-0002



























































วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ครั้งที่1 Sarah Morris

ออกแบบระบบฐานข้อมูลให้คุณ Sarah Morris

การออกแบบระบบโดยการให้ลูกค้าเป็นศูนย์รวมทางธุรกิจ คือการยึดลูกค้าเป็นหลักในการทำธุรกิจ โดยคำนึงว่าในอนาคตลูกค้าต้องการอะไร การให้คำตอบกับลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจเป็นการจัดการด้านบริการที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า หรือการให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพมากกว่าราคา นอกจากนี้ยังมีการใช้อินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยจัดการความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า หรือ CRM เพื่อสร้างฐานข้อมูลของลูกค้า เช่น การเก็บประวัติของลูกค้า หรือการให้บริการตอบคำถามโดยตรงจากพนักงานคือมีบริการด้านคอลเซ็นเตอร์ และยังช่วยในเรื่องของการตัดสินใจให้แก่ผู้บริหารอีกด้วย ในระบบ CRM นั้น มีการใช้ทั้งอินทราเน็ต เอ็กทราเน็ต และอินเตอร์เน็ต และมีการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางการตลาด หรือการจัดทำเว็บบอร์ดเพื่อใช้ตอบคำถามแก่ผู้ที่ใช้บริการและมาฝากคำถามไว้ โดยจะนำคำถามที่มีคนถามมากที่สุดล็อคไว้บนหัวข้อแรก ๆ ของเว็บบอร์ดเพื่อที่เมื่อมีคนจะเข้ามาตั้งคำถามก็ไม่ต้องตั้งใหม่และยังสามารถเข้ามาดูคำตอบได้เลย และคอมพิวเตอร์สามารถทำการสื่อสารกับลูกค้าได้ สามารถเชื่อมโยงกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ และผู้จัดหาจัดส่งได้ นอกจากนี้ในเรื่องของการโฆษณาเว็บอาจจะทำเป็นแบนเนอร์ไปแปะฝากไว้ที่เว็บไซต์ อื่น ๆ ซึ่งมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย หรือลูกค้ากลุ่มทั่วไปเข้ามาใช้บริการกันมาก เช่น เว็บสนุก ดอตคอม เว็บกะปุก เป็นต้น


รายชื่อสมาชิกในกลุ่มทำแบบทดสอบย่อย
1. นางสาวศิรภัสสร วงษ์เนตร รหัสนักศึกษา 49000855 (ม.ศรีปทุม)
2. นางสาวธัญญลักขณ์ ทัพชัย รหัสนักศึกษา 49003254 (ม.ศรีปทุม)
3. นางสาวอารยา ยาดี รหัสนักศึกษา 49003278 (ม.ศรีปทุม)